น้ำเต็มแก้ว คติสอนใจน้ำเต็มแก้ว จากประสบการณ์ชีวิต และการทำงาน พบเห็นคน อาการน้ำเต็มแก้ว เยอะมาก เจ้าตัวไม่เคยรู้ว่าเป็น น่ากลัวมาก อันตรายต่อความฉลาดอย่างรุนแรง
รูปของแก้วที่มีน้ำอยู่เต็ม เติมอะไรเข้าไปนิดหน่อยก็ล้นแล้ว

ผมเขียนบทความบทนี้ เพื่ออยากจะทักทายเตือนสติทุกท่านที่มีโอกาสได้อ่านว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีก้าวหน้า คนทุกเพศทุกวัยมีโอกาสเข้าถึงและแสวงหาความรู้ได้ในทุก ๆ เรื่อง และอย่างง่ายดาย ในหลายช่องทาง ไม่ว่าจะผ่านทางอากู๋มั่ง เฟซบุ๊คมั่ง หรือไลน์มั่ง แล้วแต่ใครจะชอบอะไร พอศึกษาเรียนรู้มากเข้า ๆ ชักจะนึกว่า ตนเองนั้นชักไม่ธรรมดาซะแล้ว ถ้าจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เรารู้เรื่องค่อนข้างเยอะ จะมีความรู้สึกเลยว่า ถ้าพูดเรื่องนี้ต้องเราเลย เราคือผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ เป็นสุดยอดปรมาจารย์ของเรื่องนี้แล้ว ใครก็ตามที่บังอาจมาพูดเรื่องนั้น ๆ ให้ได้ยินเมื่อไหร่ จะคิดปรามาสเค้าทันทีว่า "เชอะ! ไม่มีทางรู้เรื่องนั้นลึกซึ้งได้เท่าเราหรอก อย่ามาขยายขี้เท่อเลย ไม่อยากฟังซักนิด เปลืองสมองเปล่า ๆ" ผมขอบอกเลยว่า คุณกำลังทำสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ต่อสติปัญญาและความฉลาด เมื่อคุณมีความคิดในทำนองนี้เมื่อไหร่ นั่นหละครับ คุณคือคนคนหนึ่ง ที่มีอาการตามที่ผมบอกมาแต่ต้น คือเป็นคน "น้ำเต็มแก้ว" นั่นเอง
เรื่องของแก้วน้ำธรรมดา ๆ นี่ก็ใช้สอนคนให้เข้าใจในหลักวิธีคิดอันมีประโยชน์ ได้อย่างอัศจรรย์ ช่างน่านับถือจริง ๆ ท่านผู้คิดริเริ่มคงสังเกตเห็น แก้วน้ำตอนที่มันยังว่างเปล่าอยู่ จะเติมอะไรเข้าไปมันก็รองรับเก็บไว้ได้ทั้งหมด แต่พอรินน้ำจนเต็มปริ่ม ๆ แก้วแล้ว ก็เห็นสิ่งที่เป็นธรรมดาธรรมชาติเกิดขึ้น คือไม่สามารถที่จะเติมน้ำอะไรเข้าไปได้อีก เติมอะไรเข้าไปอีกแม้เพียงนิดหน่อย มันก็จะล้นทิ้งออกมาอย่างน่าเสียดาย เกิดเป็นคติสอนใจน้ำเต็มแก้วอันโด่งดัง ท่านจึงนำเอาลักษณะธรรมดาธรรมชาติง่าย ๆ นี่แหละ มาสอนคน ให้หมั่นคิดเตือนสติตนทุกขณะจิตว่า อย่าทำตัวเป็นคน ที่มีลักษณะเหมือน น้ำเต็มแก้ว ไม่คิดที่จะรับอะไรใหม่ ๆ เข้าไปมั่ง จะกลายเป็นคนที่ล้าหลัง ไม่ได้รับประโยชน์จากความรู้ หรือวิทยาการที่มีอยู่ หรือที่เค้าคิดค้นพัฒนากันขึ้นมาใหม่ ๆ แล้วนำไปสู่กระบวน ความคิดที่ถูกต้อง ความคิดที่ดี ความมีเหตุมีผล ก็จะนำความเจริญมาสู่ตัวได้ในที่สุด
เราต้องยอมรับอยู่อย่างนึงว่า ความรู้ หรือวิทยาการต่าง ๆ ช่างมีอยู่มากมายมหาศาลเหลือเกิน เรื่องเพียงเรื่องเดียว หากต้องการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็ต้องใช้เวลาอย่างมาก และการศึกษาบางเรื่องก็อาจถึงกับไม่มีทางที่จะเรียนให้จบ ในชั่วชีวิตเดียวนี้เลยทีเดียว มิหนำซ้ำผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ยังแสวงหาคิดค้นพัฒนาความรู้ หรือวิทยาการที่มีอยู่ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง อะไรที่เดิมดีอยู่แล้ว ก็ช่วยกันคิดช่วยกันค้น มีความพยายามศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอีกจนความรู้ หรือวิทยาการเรื่องเดิมเกิดต่อยอดแตกแขนงมีประโยชน์เพิ่มมากขึ้นไปอย่างมากมาย พวกหมอก็พยายามคิดค้นหาวิธีการใหม่ ๆ ในการรักษาคนป่วย นักโภชนาการ ก็คิดค้นความรู้เกี่ยวกับอาหาร วิธีการบริโภคอาหาร ที่ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามคิดค้นสิ่งที่จะช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกให้กับความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้สุขสบายยิ่ง ๆ ขึ้น ในขณะที่มีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย จะเห็นว่า มนุษย์เราได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากความรู้ หรือวิทยาการที่มีอยู่ และที่กำลังคิดค้นพัฒนาขึ้นมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
เราเห็นกันหรือยังครับว่า ความรู้ และวิทยาการในโลกเรา มีอยู่มากมายเหลือเกิน เราไม่มีทางเลย ที่จะสามารถศึกษามันทุกเรื่องได้ และ แม้แต่ความรู้หรือวิทยาการเพียงเรื่องเดียว แต่ถ้าเราจะศึกษาให้ลึกซึ้งจนถ่องแท้ไม่มีอะไรให้สงสัยอีก ไม่มีอะไรให้ต้องศึกษาอีก ผมไม่รู้ว่า จะมีเรื่องเหล่านั้นอยู่ในโลกนี้หรือไม่ เพราะความรู้เรื่องต่าง ๆ ยิ่งเรียนรู้ลึกเข้าไป แทนที่มันจะเหลือสิ่งที่ต้องค้นคว้าน้อยลง กลับกลายเป็นยิ่งเรียนรู้สิ่งที่ต้องค้นคว้าให้ได้ความจริง กลับยิ่งมีมากขึ้น กว้างขวางใหญ่โตขึ้น จนถึงกับมีคำเปรียบเปรยกันขนาดว่า "ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งเซ่อ" (อันนี้ความหมายของผมเองนะครับ คำเปรียบเปรยเดิมอาจไม่ใช่อย่างผม ผมหมายความว่า ยิ่งเรียนลึกเข้าไป ยิ่งมีสิ่งที่ต้องค้นคว้ามากขึ้นไป แตกแขนงแตกยอดกันไปมากมาย จนหมดปัญญาจะเรียนรู้ให้หมดทุกประเด็นได้ ก็เหมือนกับเรายิ่งเรียนไปเรียนไป ทำไมเรื่องที่ไม่รู้มันกลับมากขึ้นมากขึ้น ยิ่งเรียนนานวันเข้า เรียนมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโต ความรู้เรื่องที่เรียนแทนที่จะเหลือน้อยลง กลับมีมากขึ้น ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น) ดังนั้น การที่เราจะได้ประโยชน์จากความรู้ หรือวิทยาการต่าง ๆ เหล่านั้น ไม่จำเป็นหรอก ที่จะต้องไปศึกษาให้ครบหมดทุกเรื่อง และ ครบทุกประเด็น เราศึกษาเฉพาะสิ่งที่เราสนใจ ประเด็นที่เราต้องการศึกษาจริง ๆ ก็พอ ค่อย ๆ ศึกษาเอาไปใช้ประโยชน์สะสมไปทีละเรื่องสองเรื่อง พอศึกษาเรียนรู้จนชำนาญแล้ว ค่อยคิดว่าจะไปต่อหรือจะเปลี่ยนไปศึกษาค้นคว้าอะไร อย่าไปเรียนรู้มันซะทุกเรื่อง ไม่งั้นเราจะกลายเป็นเหมือนเป็ด จะบินก็ได้ จะว่ายน้ำก็เป็น จะให้เดินก็ได้ แต่สรุปแล้วไม่เก่งไม่ชำนาญอะไรซักอย่าง การหยิบจับมากเรื่องราว สนใจไปทุกเรื่อง มันจะกลายเป็นออกทะเล หลงทิศหลงทางหาทางกลับฝั่งไม่ถูก
ผมยอมรับว่า คนเก่งนั้นมีจริง เก่งจริง ชำนาญจริงในเรื่องใด ๆ เรื่องหนึ่ง ใครถามเป็นตอบได้อย่างฉะฉาน แต่อย่างที่ผมบอกมา ความรู้วิทยาการมันเปลี่ยนแปลงกันได้ ในอดีตมนุษย์มีความรู้ว่าโลกแบน แล้วเป็นไงหละครับ ทุกวันนี้กลับกลายเป็นว่าจริง ๆ แล้วโลกกลม ในอดีตคนเจ็บป่วยตายก็โทษผีห่าซาตาน ผีสารพัดผี เจ้าแม่ เจ้าป่า เจ้าเขา ฯลฯ อะไรก็ตามที่เราจะโทษได้เราก็โทษไป สุดท้ายเป็นไง สาเหตุมาจากเชื้อโรค หรือ จุลินทรีย์ที่ท่านหลุยส์ ปาสเตอร์ ค้นพบนั่นเอง ความรู้ และความเชื่อเดิมที่เคยรู้และเชื่อว่า กินไข่แล้วอันตราย ทำให้ไขมันชนิดคลอเลสเตอรอลเพิ่มสูง ทั้งที่ในความเป็นจริง ไข่ไม่ได้เป็นต้นเหตุโดยตรงของการเพิ่มของคลอเรสเตอรอลเลย พี่สาวผมกินไข่ติดต่อกันหลายวัน วันละหลายฟอง พอไปตรวจเลือดก็ไม่เห็นว่า ไขมันชนิดคลอเรสเตอรอลจะเพิ่มสูง หรือเปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไร ลองคิดดูว่า ถ้าบังเอิญเราเกิดเป็นคนที่มีลักษณะน้ำเต็มแก้ว คิดว่า เราเป็นคนที่มีความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี เราเป็นที่สุดของที่สุด ในพื้นปฐพีนี้ ไม่มีใครเทียบเทียมเราได้ ไม่คิดจะไปสนใจไขว่คว้าแสวงหาความรู้ใด ๆ มาเพิ่มเติมให้รกสมองอีก ถ้าคุณดูจากสิ่งที่ผมบอก เกิดความรู้และวิทยาการไม่ว่าเก่า หรือ ใหม่มีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังเท้า คุณคิดว่า การที่คุณไม่ยอมรับอะไรใหม่ ๆ เข้าไปเลย คุณคิดว่า คุณคิดถูกหรือคิดผิด
ใช่ ไม่แปลกที่แต่ละคนจะมีความคิดของตนที่จะเลือกทำหรือไม่ทำอะไร แต่จากที่บอกมาแล้วว่า ความรู้วิทยาการใหม่ ๆ ทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้นมากมาย เพียงเราสนใจมันสักนิด หาความรู้มาประดับสมองไว้ เราก็อาจจะได้นำความรู้ดังกล่าว มาก่อประโยชน์ให้เกิดกับตัวเราและครอบครัว ทุกวันนี้ เราสามารถพูดคุยกับลูกหลานเราที่อยู่ต่างประเทศ ได้อย่างเห็นหน้าค่าตากัน มองเห็นสภาพความเป็นอยู่กันได้อย่างง่ายดายด้วยการโทรไลน์ เราสามารถมองเห็นบ้านเรา ในขณะที่เราอยู่ที่ทำงาน เรารู้ว่า กินไข่แล้วดี ไม่ได้เป็นโทษมากมายอย่างที่เราเคยรู้เคยเชื่อในอดีต สิ่งต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เหล่านี้ เกิดขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็เพราะความรู้ หรือ วิทยาการที่คิดค้นพัฒนากันขึ้นมานั่นเอง ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่า เราครบแล้ว เต็มแล้ว ไม่ต้องหาความรู้อะไรมาเพิ่มเติมอีก ผมคิดว่านั่นคือการที่คุณตัดสินใจว่า "ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คุณจะสมัครใจเป็นคนโง่ตลอดชีวิต" ผมว่ามันน่าเสียดายนะ
ที่ผมบอกว่า หากเราเป็นคนน้ำเต็มแก้วแล้ว เราจะเป็นคนที่ค่อนไปในทางที่ไม่ฉลาด ผมขออธิบายง่าย ๆ คือ คนฉลาดนั้น ถ้าจะทำอะไร ก็จะทำได้โดยถูกต้อง รวดเร็ว คุณภาพดี แต่ถ้าคุณเป็นคนชนิดตรงกันข้ามแล้ว คุณก็จะทำอะไรได้อย่างไม่ค่อยถูกต้อง ช้า แล้วก็ไร้คุณภาพ ลองคิดเอาเองว่า อย่างไหนจะดีกว่ากัน
ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ ของคนชนิดน้ำเต็มแก้ว ที่ผลของการเป็นคนเช่นนั้น ทำให้การทำเรื่องที่ง่ายแสนง่าย ต้องเกิดความผิดพลาด เสียเวลา และงานที่ต้องการก็ไม่สำเร็จ (ต้องขออภัยกับผู้ที่เป็นตัวละครที่ผมเล่า หากบังเอิญได้อ่านเรื่องที่ผมเล่าแล้วรู้ว่า เป็นเรื่องของตน โปรดอย่าถือสาโกรธเคืองกันเลยนะครับ ผมไม่ได้ต้องการประจาน แต่ขอยกเป็นตัวอย่าง ให้คนอื่นจะได้เป็นอุทธาหรณ์ไม่ทำผิดพลาดอย่างนั้น) เรื่องมีอยู่ว่า ผมทำงานอยู่ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม มีผู้ปกครองของเด็กต้องการส่งเอกสารของเด็กเพิ่มเติม ในการสอบเข้าเป็น นักเรียนนายร้อยตำรวจ โทรถามเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในห้องผมว่า จะต้องส่งเอกสารอะไรมั่ง และจะเอามาส่งด้วยตัวเองจะต้องส่งที่ไหน อย่างไร โดยที่ผู้ปกครองเด็กนั้น ค่อนข้างที่จะเข้าใจตัวเองว่า ตัวเองเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เป็นคนเข้าใจอะไรต่อมิอะไรได้ง่าย เรื่องส่งเอกสารเด็กด้วยตัวเองนี้ ง่ายมาก ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน เจ้าหน้าที่แจ้งข้อมูลทางโทรศัพท์ถึงรายละเอียดต่าง ๆ ผู้ปกครองนั้น ก็จะแสดงถึงความเข้าใจอย่างรวดเร็ว คล้าย ๆ กับโฆษณาอะไรก็ไม่รู้ ผมลืมไปแล้ว ที่คนเค้าพูดอะไรให้ฟังนิดหน่อยแล้วคนที่ฟังก็พูดว่า "รู้แล้ว รู้แล้ว" ลองจินตนาการดูนะครับ คนที่เป็นคนชนิดน้ำเต็มแก้วเนี่ย ไม่ค่อยยอมให้ใครมาพูดอะไรมากมายเข้าสู่โสตประสาทหรอก เค้าจะรีบตัดบทโดยแสดงว่า "รู้เรื่องดังกล่าวดีแล้ว ไม่ต้องมาบอกหรอกน่า" ถ้าผมให้คุณเดาว่า เรื่องที่ผมเล่ามาจบยังไง ผมว่า คุณเดาไม่ถูกแน่ ผมขอเฉลยให้ฟังเลยแล้วกันว่า ในวันที่ผู้ปกครองเดินทางจะนำเอกสารมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ที่ห้องทำงานผม โทรศัพท์โต้ตอบกันอยู่นาน ผู้ปกครองก็บอกว่า ชั้นเข้ามาถึงโรงเรียนนายร้อยแล้ว ผ่านมาถึงอนุสาวรีย์ ร.5 แล้ว ผ่านไปถึงตรงนั้นตรงนี้แล้ว จะให้ไปทางไหนต่อ พอโทรศัพท์ทวนถามกันไปมาซักพัก ก็ได้บทสรุปว่า ผู้ปกครองนั้น ไปโรงเรียนนายร้อยเหมือนกัน แต่เค้าต้องการให้ลูกสอบเข้า โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งอยู่ที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม แต่ดันเอาเอกสารเดินทางไปที่ โรงเรียนนายร้อย จปร. ที่อยู่ เขาชะโงก จ.นครนายก
เห็นมั้ยครับ ถ้าเราเป็นคนที่มี อาการน้ำเต็มแก้ว ตรงตาม คติสอนใจน้ำเต็มแก้ว นี้เมื่อไหร่ โอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนี้กับคุณก็จะเกิดขึ้นง่าย เพราะคุณไม่ฟังใคร คนเค้าจะบอกคุณ คุณก็ "รู้แล้ว รู้แล้ว" คุณก็ต้องรับกรรม ในการเดินทางไกลแบบนั้นแหละ ก็ขอให้ชิน ๆ กับมันก็แล้วกัน จะได้ไม่กลุ้ม
ผมไม่ต้องการให้คุณเชื่อผมทั้งหมด เป็นสิ่งที่คุณคิดตัดสินใจได้อย่างอิสระ ผมก็อาจมีชั่วขณะที่ไม่อยากแสวงหาสิ่งใดในโลก เติมเข้าไปในสมองเหมือนกัน แต่ผมจะไม่เป็นบ่อย และถ้าเป็นก็จะไม่เป็นนาน เพราะผมรู้ดีว่า ความรู้ใด ๆ ในโลก บางทีขณะฟังมันยังไม่มีประโยชน์ แต่เราจะไม่รู้เลยว่าประโยชน์มันจะมีขึ้นมาเมื่อไร อย่างโบราณเค้าว่า "รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม" ผมทำงานเกี่ยวกับกฎหมาย และ การร่างหนังสือเสนอผู้บังคับบัญชา ความรู้ที่ผมใส่บ่าแบกหามมาแต่เด็ก เป็นประโยชน์กับผมมาก ตอนเด็กผมเรียนรู้ รับรู้มา ก็ไม่คิดว่ามันจะได้ใช้ตอนผมทำงานนี่แหละ อย่าไปดูถูกมันครับ
ผมจะเล่าความรู้เรื่องนึง ที่ผมรับรู้รับฟังมาจากไหนผมจำไม่ได้แล้ว แต่มันติดอยู่ในจิตใต้สำนึกของผมมายาวนานมาก เรื่อง เบรครถยนต์ ผมจะจำไว้เสมอว่า ถ้าเบรครถยนต์เกิดความร้อนมาก ๆ จะทำให้การหยุดรถไม่สามารถทำได้ ซึ่งนั่นก็คือ อาการเบรคแตกนั่นเอง การที่รถตกเหวผมสรุปสาเหตุ ก็น่าจะเกิดจากเรื่องเบรคแตกซะเป็นส่วนใหญ่นั่นแหละ เรื่องของผมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเบรครถยนต์ก็มีอยู่ คือ เมื่อหลายปีมาแล้ว ผม แม่ พี่สาว แล้วก็แฟนไปเที่ยวดอยอินทนนท์กัน ผมขึ้นดอยโดยขับรถยนต์ฮอนด้าซิตี้ ไทพ์ซี (ตัว Z เวลาอ่านอ่านเป็นซี) ตอนขึ้นก็มีปัญหานิดหน่อย ตรงรถมันเป็นเกียร์ออโต้ กำลังเครื่องก็น้อยหน่อย แต่ก็พอไต่ขึ้นไปได้ แต่ปัญหามันเกิดตอนลงนี่หละครับ ดอยอินทนนท์ทุกท่านที่เคยขึ้นคงทราบนะครับ สูงชันมาก รถฮอนด้าซิตี้ ไทพ์ซี นี่เค้าให้ขับกันในเมือง ผมดันเอาขึ้นดอย ก็ยุ่งนะสิครับ รถมันไม่มีเกียร์โสลว์ หรือเกียร์อะไรก็ตาม ที่จะหน่วงความเร็วรถไว้ได้ ผมขับรถลงดอยมา ก็เหยียบเบรคเรื่อยทางก็เพราะทางมันชันมาก ปรากฏว่า แป๊บเดียวเท่านั้นแหละได้เรื่อง เกิดควันโก๋จากทั้ง 4 ล้อตลบคลุ้งขึ้นมา เห็นควันลอยกันจะจะอย่างกับไฟไหม้รถแหนะ "เอาหละสิ ยุ่งหละ เกิดอะไรกันแน่วะ" (คิดในใจ) คราวนี้จะทำยังไงหละ แม่ พี่สาวกับแฟนบอกให้จอดรถข้างทางก่อนเถอะ ดูว่าเกิดอะไรขึ้น ลงมาดูก็เห็นควันมันออกมาจากยางล้อทั้ง 4 ข้างนี่แหละ ผมรู้ทันทีเลยว่า เบรคไหม้ และในทันใดนั้น คุณเชื่อมั้ยว่า ความรู้ที่ผมเคยรู้มาว่า เมื่อเบรคเกิดความร้อนมาก ๆ จะทำให้ไม่สามารถหยุดรถได้ จะทำให้รถเกิดเบรคแตกแล้วตกเหวได้ มันผุดขึ้นมาจากสมองของผมทันทีเลย ผมสามารถจัดการกับปัญหาตรงหน้านั้นได้ทันที จากความรู้ที่เคยรับรู้มานานมากแล้ว โดยผมบอกแม่ พี่สาวกับแฟนว่า เราต้องรอให้เบรคเย็นลงเสียก่อน แล้วค่อยขับรถลงไป ซึ่งตอนนั้นก็เกือบจะมืดแล้วด้วย ก็หวั่น ๆ อยู่เหมือนกันว่า ถ้าลงเขาตอนมืด ๆ ก็น่ากลัวอยู่ แล้วโชคก็เป็นของผม มีรถคันหนึ่ง ขับมาจอดต่อรถผม ตอนแรกก็คิดว่า รถเค้าเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย ปรากฏว่า รถเค้าไม่ได้เป็นอะไร เค้าจอดพักรถทำอะไรนิดหน่อยแล้วก็จะขับต่อเอง แล้วคุณเชื่อมั้ยว่า รถเค้าก็เป็นรถที่ไม่มีเกียร์โสลว์เหมือนรถผมเหมือนกัน ก็เลยได้โอกาสถามเค้าว่า รถไม่มีเกียร์โสลว์อย่างนี้จะต้องขับลงเขายังไงเบรคถึงจะไม่ไหม้ เค้าแนะนำว่า ให้ผมแตะเบรคให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แตะได้เพียงนิดเดียวแล้วต้องปล่อย ห้ามเหยียบแช่เด็ดขาด ผมก็จินตนาการ "โอ้โห ที่ ๆ มีความชันขนาดนี้ ถ้าแทบไม่แตะเบรคเลย นี่มันแรลลี่ชัด ๆ" นั่นแหละ หลังจากผู้แนะนำเค้าขับรถไป เบรครถผมเย็นแล้ว ก็เริ่มละ แรลลี่ลงดอยอินทนนท์ ผมขับรถลงดอยอินทนนท์ โดยแตะเบรคแค่ลดความเร็ว แตะปล่อย แตะปล่อย ไม่มีการแช่เลย แต่ขอโทษ รถลงมาเร็วอย่างกับขับแข่งกรังปรีซ์เลย ผมยังคิดว่า ถ้ามีรถใครขวาง อยู่ หรือมีอะไรอยู่กลางทาง ผมจะเบรคทันมั้ย สรุปวันนั้นผม แม่ พี่สาว กับแฟน ก็รอดมาได้อย่างอกสั่นขวัญแขวน ผมรอดมาได้เพราะอะไรหรือครับ ก็รอดเพราะความรู้ที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกตลอดเวลา มาอย่างยาวนานนั่นเอง
เป็นไงครับ ถ้าผมเป็นคนน้ำเต็มแก้ว เรื่องอะไรไม่สนใจเรียนรู้ทั้งนั้นแหละ ผมก็คงไม่มีความรู้เรื่องเบรค ติดอยู่ในหัวสมองเหตุการณ์วันนั้น อาจไม่ Happy Ending ก็ได้ ผมอาจได้ตกเป็นข่าวว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียนที่มีผมเป็นคนขับ เกิดตกเหวลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ตรง...
ผมเป็นคนชอบขวนขวายหาความรู้มาก ผมเห็นความรู้ต่าง ๆ เป็นเรื่องสนุก ยิ่งถ้าเรื่องที่สนใจยิ่งต้องไปแสวงหา เรียนรู้ ผมจ่ายตังค์เรียนวิชาต่าง ๆ ไม่รู้กี่หลักสูตรต่อกี่หลักสูตร เรียนซ่อมคอม เรียนซ่อมโทรศัพท์ เรียนขายของอเมซอน เรียนทำเว็บ ศึกษาภาษาอังกฤษ ภาษาจีนด้วยตัวเอง ฯลฯ แล้วก็ไม่เคยคิดจะหยุดเรียนรู้เลย มีโอกาสผมก็ต้องเรียนรู้เรื่องที่สนใจอีกแหละ ผมให้เกียรติและความสำคัญกับความรู้ ไม่เพียงเฉพาะตัวความรู้ที่ผมให้เกียรติ หรือ ให้ความสำคัญ ผมให้เกียรติคนที่บรรจุความรู้แล้วเอามาถ่ายทอดให้ผมรับรู้ด้วย แม้คน ๆ นั้นจะเป็นเด็กเล็ก ๆ คนสติไม่ดี ขอทาน ฯลฯ ถ้าเค้ามีอะไรให้ผมเรียนรู้ ผมก็จะศึกษาอย่างสนใจ ผมจะถือว่า เค้าก็คืออาจารย์คนหนึ่งนั่นเอง ถ้าคุณสังเกตเค้า แล้วคิดเอาสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาเป็นประโยชน์ คุณก็จะได้ความรู้มาแบกหามอีกเช่นเคย ดังนั้น ผมจะเป็นคนที่พูดกับใครก็ได้ จะรับฟังคำพูดของเค้าอย่างจริงจัง ไม่เคยดูถูกคน หรือ สิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง เพียงแต่ว่า ผมจะเลือกสิ่งที่สนใจฟัง ถ้านอกเหนือความสนใจ อาจไม่สามารถรับฟังได้ เพราะงานผมเยอะมาก ออกนอกเรื่องมาก ๆ พอดีงานไม่จบกัน
สุดท้ายนี้ ก็ขอให้ทุกท่านได้ความคิดดี ๆ ที่มีประโยชน์ไปใช้กับตัวเอง พยายามคิดให้ได้ว่า ทุกสิ่งในโลก ล้วนมีคุณค่าควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้าทั้งสิ้น แม้ว่าเรื่องบางเรื่องที่คุณคิดว่า ไม่น่าจะมีประโยชน์กับคุณซักเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณได้เรียนรู้ หรือรับรู้มันไว้ ซักวันหนึ่ง มันอาจจะเป็นประโยชน์กับคุณขึ้นมาก็ได้ ใครจะไปรู้ อาจจะเกิดกรณีอย่างเช่นเรื่องเบรครถยนต์ของผมก็ได้ ความรู้นั้น ช่วยชีวิตผม แม่ พี่สาวกับแฟนไว้ได้ ผมหยิบยกตัวอย่างมาให้เห็นกันอย่างนี้แล้ว ถ้าคุณยังยึดมั่นเชื่อถือ แต่ในสิ่งที่เป็นความรู้เดิมที่มีอยู่แต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องการที่จะเสาะแสวงหาความรู้วิทยาการอะไรใหม่ ๆ เติมเข้ามาใส่หัวสมองมั่ง คุณต้องเป็นคนตกโลกอย่างไม่ต้องสงสัย เลยเตือนสติมายังทุกท่านพยายามเตือนสติตัวเองไว้ อย่าทำตัวเป็นคน "น้ำเต็มแก้ว" คุณจะมีแต่ทางเสียมากกว่าที่จะได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้วหละว่า "คุณจะเลือกอะไร?"
*** สำหรับท่านใดที่มีข้อสงสัย ต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า หรือข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องใด ๆ โปรดอย่าเกรงใจ ถือเสมือนว่าผมเป็นเพื่อนซักคนนึง จะฝากข้อความ หรือ ติดต่อกับผมตามช่องทางต่าง ๆ ที่ให้ไว้ ผมจะรีบตอบคำถามของท่านอย่างเร็วที่สุด ***